ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเมืองผีแดงออกมาบอกว่า หากยังต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกันใน ‘ความตกลงปารีส’ แล้ว เจ้าของเรือแต่ละรายต้องหันมาใส่ใจดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างกับเรือลำที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันของตนเองให้มากขึ้นกว่าเดิม

งานวิจัยเผยว่าจำนวนก๊าซ CO2 ที่ถูกปล่อยจากเรือที่แล่นอยู่ในปัจจุบันนี้คิดเป็น 85-212% ของเพดานก๊าซ CO2 ตามที่ตั้งเป้ากันไว้เลย และเรือลำใหม่ที่มีกำหนดออกมาใช้ทดแทนและเพิ่มเติมเข้าในกองเรือชุดนี้ในช่วงต้นทศวรรษ 2020 อาจเพิ่มจำนวนก๊าซ CO2 ให้มากขึ้นไปอีก

เท่าที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ผู้คนให้ความสำคัญกับก๊าซ CO2 ที่ถูกปล่อยจากภาคธุรกิจพลังงาน และการวิเคราะห์ภาพรวมทั้งโลกมองว่าวงการเรือส่งผกระทบเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

อีกทั้งมาตรการและข้อกำหนดต่าง ๆ ล้วนโฟกัสไปที่เรือลำที่จะถูกสร้างออกมาใหม่ โดยเน้นมันมีระบบเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ไม่ปล่อยมลพิษออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลก

แต่ว่า เรือมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมาก นั่นเท่ากับมีความเป็นไปได้ที่เรือจะปล่อยก๊าซ CO2 สะสมในระดับสูงมาก

ทีมนักวิจัยให้เน้นย้ำว่าวงการเรือเป็นรูปแบบการขนส่งสินค้าที่สร้างมลพิษน้อยกว่าหนทางอื่น มีบทบาทสำคัญต่อวิกฤตโลกร้อนและมีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้มาก โดยไม่ต้องโละเรือทิ้งก่อนเวลาอันควร ซึ่งสามารถทำได้โดยการเดินเรือด้วยความเร็วต่ำ ปรับใช้วิธีการเดินเรือที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ใช้นวัตกรรมใหม่ หรือดัดแปลงให้เรือสามารถใช้เชื้อเพลิงไร้คาร์บอน ยิ่งหากมีการวางนโยบายบังคับควบคู่กันไปด้วยแล้ว เชื่อได้ว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซจากเรือเหล่านี้ถึง 65%

และถ้าเรือใหม่ที่ไร้การปล่อยก๊าซสามารถนำออกสู่ทะเลได้เร็วมากขึ้น เป้าหมายที่จะจำกัดการปล่อยก๊าซ CO2 ไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 °C ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้เหมือนจะออกมาในเวลาที่ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร เพราะช่วงนี้วงการเรือโดยพิษการเงินจากโควิด-19 กันถ้วนหน้า แผนที่จะดัดแปลงเรือเพื่อลดการปล่อยก๊าซจึงถูกชะลอหรือเลื่อนออกไป ซึ่งตามการรายงานจากรอยเตอร์พบเรือเพียง 3,000 ลำจากทั้งหมดราว 9,000 ลำที่แล่นอยู่ในทะเลได้ติดตั้งเครื่องสกรับเบอร์แล้ว

เป็นเรื่องธรรมดาที่ระหว่างการเดินทางสู่เป้าหมายย่อมต้องเจอกับอุปสรรคบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีสิ่งใดที่เราตั้งใจทำแล้วจะทำไม่สำเร็จ

อ้างอิง